เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ธรรมะ เห็นไหม ธรรมะประกอบกับสัมมาอาชีวะ ธรรมะคือชีวิตไง ชีวิตเกิดขึ้นมา เวลาชีวิตเกิดขึ้นมามันมีนาฬิกาชีวิตมาด้วยนะ เวลานาฬิกาที่มันตายไปเราต้องไขลานมัน หรือเราต้องเปลี่ยนถ่านมัน นาฬิกานั้นถึงจะเดินได้ นั้นคือนาฬิกานะ แต่นาฬิกาชีวิตมันทำชีวิตของเราซ้ำซากอยู่อย่างนั้นแหละ มันตามกาลเวลาไง เวลาชีวิตของเราเราทำตามนั้น แต่มนุษย์เรา ๒๔ ชั่วโมงก็ต้องทำตามนั้นแหละ

ฉะนั้น เวลาเราจะแก้ไขของเรา เวลานาฬิกาเขาเสียเขาต้องแก้ไขของเขา เขาต้องไขลานของเขา เขาเปลี่ยนถ่านของเขา แต่ชีวิตของเราล่ะ? ชีวิตของเราเราทำตามโปรแกรมนั่นแหละ ชีวิตเป็นแบบนี้ ถ้าชีวิตเป็นแบบนี้นะ ชีวิตเป็นแบบนี้แต่มันก็มีทุกข์มียากปนเข้ามาไง ฉะนั้น ถ้าเราจะแก้ไขเวลาของเรา เราจะแก้ไขนาฬิกาของเรา เราจะแก้ไขนาฬิกาของเรา เราก็ต้องใช้นาฬิกานั่นแหละแก้ไขตัวมันเอง ถ้าใช้นาฬิกาแก้ไขตัวมันเอง นี่ ๒๔ ชั่วโมงเราทำข้อวัตรปฏิบัตินั่นก็ตามกาลเวลานั่นแหละ

ในมหายานเขาบอกว่า “อย่าเป็นทาสของกาลเวลา” ถ้าอย่าเป็นทาสของกาลเวลา มันจะทำอย่างไรถึงจะพ้นจากกาลเวลานั้นไปล่ะ? มันต้องเอากาลเวลานั้นแหละ นี่เอากาลเวลานั้นตั้งข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา แล้วเอากาลเวลานั้นแก้ไขกาลเวลานั้น ถ้ามันแก้ไขกาลเวลานั้นจนมันพ้นจากกาลเวลานั้นไป มันก็จะพ้นจากกาลเวลานั้นไปได้ แต่ถ้าเราบอกว่าเราไม่ใช่เป็นทาสของเวลา แต่ทาสของเวลาเราทำอย่างไร? เราจะปฏิเสธใช่ไหม?

ถ้าเราจะปฏิเสธมัน เราจะไม่สนใจมัน เวลามันก็คือไปไง แต่ความเคยชินของเรา เรื่องกรรมนะ เวลากรรมมันเกิดขึ้นมาตามพันธุกรรมของใจ ใจมันชอบ ใจมันพอใจอย่างนั้น มันก็ทำของมันอย่างนั้น แล้วทำเสร็จแล้ว ถ้าทำแบบนั้นโดยที่ไม่มีตัณหาความทะยานอยาก ดูเด็กสิ เห็นไหม เขาทำโดยสัญชาตญาณของเขา การไร้เดียงสาของเขา เขาไม่รู้ถูกรู้ผิดของเขา แต่ผู้ใหญ่รู้ ผู้ใหญ่รู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว แต่ก็ทำไป พอทำไปแล้วก็เสียใจภายหลัง เสียใจภายหลังทุกทีเลย

ทำไมมันเสียใจภายหลังล่ะ? เสียใจภายหลังเพราะ.. เพราะว่าตัณหาความทะยานอยากอันนี้ไง แล้วเวลาจะแก้ไขมันจะแก้ไขที่ไหน? เราก็แก้ไขจากกาลเวลานั้น เห็นไหม ดูสิเวลาใจ เราจะหากายกับใจ กายกับใจ เราจะหาใจของเราได้เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา แล้วใจจะสงบเข้ามาได้อย่างไรล่ะ? ถ้าใจสงบเข้ามา เราต้องมีคำบริกรรมของเรา พอเราทำของเรา เขาปฏิเสธ เขาว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดเป็นความทุกข์ สิ่งนี้ทำแล้วมันมีความยุ่งยาก

ถ้าความทุกข์ขึ้นมาเหมือนกัน นี่กาลเวลาของเรา เราก็ย้ำคิดย้ำทำตามชีวิตเรานี่แหละ ถ้าย้ำคิดย้ำทำตามชีวิตของเราแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปล่ะ? เราจะให้มันพ้นไปได้อย่างไร? ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็กระเสือกกระสนกันไป แล้วแต่ใครมีความนึกคิด ใครมีความเห็นอย่างไรก็ทำตามความเห็นความรู้สึกของตัว ถ้าความรู้สึกของตัว ทำไปแล้ว นี่ยิ่งทำยิ่งถลำลึกเข้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราถอยออกมา เราทำความสงบของใจเข้ามา นาฬิกาของเรา นี่เข็มนาฬิกาของเรามันหมุนมาเรื่อยจนกว่าเราจะหมดชีวิตไป

ชีวิตเรามีการพลัดพรากเป็นที่สุด นาฬิกาของเราเวลามันตายจากภพชาตินี้ไปมันก็เป็นภพชาติอื่นต่อไปๆ ถ้าภพชาติอื่นไป เห็นไหม แล้วนาฬิกาที่มันตายไปแล้วมันไปได้อย่างไรล่ะ? นี่เวลามันเกิดภพชาติใหม่มันก็ความรู้สึกนึกคิดอันนี้แหละ แต่มันได้สถานะใหม่ มันก็ได้นาฬิกาใหม่ ได้นาฬิกาใหม่เพราะอะไร? เพราะผลของวัฏฏะ การเกิดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ มันต้องเป็นไปธรรมชาติของมัน แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว เห็นไหม ถ้าสิ่งใดมีเกิดที่ไหนก็มีทุกข์ที่นั่น

เวลาอริยสัจ นี่ชาติกำเนิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ถ้าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่งเราจะแก้ไขอย่างใด? เราจะแก้ไขอย่างไรว่าสิ่งที่การเกิดและการตายเราจะแก้ไขอย่างใด? ถ้าเราแก้ไข แก้ไขโดยความนึกคิดของเรามันก็เป็นตรรกะ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม เราทำความสงบของใจเข้ามา นาฬิกานี่เราหยุดมันซะ แล้วเราจะแก้ไขอย่างใด? เราจะถอดมาซ่อมอย่างใด?

นี่ก็เหมือนกัน เราทำข้อวัตรปฏิบัติของเรามันก็กาลเวลาเหมือนกันนะ เห็นไหม เช้าขึ้นมาเราก็ทำบุญตักบาตรของเรา ชีวิตของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา ตกเย็นขึ้นมาเราสวดมนต์ สวดพร เรานั่งภาวนาของเรา นี่ชีวิตของเราเป็นแบบนั้น ถ้าชีวิตของโลกเขา เขาก็ไปกับกระแสโลก โลกเป็นใหญ่ เราเกิดมาจากโลกนะ เราก็เกิดอยู่กับโลกนี่แหละ เราก็มีนาฬิกาชีวิตเหมือนกัน แล้วเราจะแก้ไขเราอย่างไร?

เราอยู่กับโลก แต่อยู่กับโลกแล้วนะ เห็นไหม เราทำของเราด้วยสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบของเรา ความเห็นชอบของเรา เขาว่าเราจะโง่ เราจะฉลาด นั้นมันเป็นปากของโลก แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ? เป็นธรรม ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้าเรามีศีลมีธรรมของเรา เรามีศีลของเรา ศีลคืออะไร? คือเราไม่ล่วงละเมิดตัณหาความทะยานอยากที่มันยุแยงในหัวใจของเรา ถ้าไม่ล่วงละเมิดขึ้นมา นี่มันอบอุ่นไง ถ้ามันอบอุ่น เห็นไหม เราจะดีจะชั่ว จิตใจของเรามั่นคงก่อน ถ้ามันมั่นคงก่อนขึ้นมา เรามีการแก้ไขของเรา ถ้ามีการแก้ไขของเรา สัมมาสมาธิมันจะเกิดปัญญาของมัน

นี่เราทำบุญกุศลกันเพื่อให้เกิดปัญญา ปัญญามันเกิดจากที่ไหนล่ะ? ปัญญา เห็นไหม ถ้าเขาศึกษานั้นเป็นสุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียน จินตมยปัญญา จินตนาการไป นี่สิ่งนี้เอาใจไว้ไม่อยู่หรอก สิ่งนี้มันเกิดจากใจ ใจเป็นพื้นฐาน มันเกิดจากใจ แต่ถ้าจะยับยั้งมันล่ะ? ยับยั้ง เราพุทโธ พุทโธ จิตถ้ามันสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามา ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้เท่ากองสังขาร รู้เท่าความคิด ความปรุง ความแต่งไง

ถ้าเป็นวิชาชีพ เป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญามันเกิดจากใจ แต่มันเกิดโดยสัญชาตญาณ เกิดโดยตรรกะ เกิดโดยความชำนาญของมัน แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เรามีสติแล้วมีปัญญา ปัญญาเพราะจิตมันสงบเข้ามา มันจะเกิดความคิดขึ้นมา ความคิดอย่างนี้มันให้ผลเป็นทุกข์ ความคิดอย่างนี้มันให้ผลเป็นคุณ ถ้าให้ผลเป็นคุณเราต้องมีคันเร่งของเรา เหยียบคันเร่งของเรา เวลาสิ่งที่จิตใจมันดี เห็นไหม เราต้องพยายามสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าจิตใจมันเศร้าหมอง มันคิดแต่สิ่งที่อะไร ยับยั้งมันไว้ก่อน ยับยั้งไว้ก่อน ปัดทิ้งมันไป ต้องปัดทิ้งมันไป

ถ้าปัญญารอบรู้ในกองสังขารเกิดขึ้นมา นี่ปัญญาที่เราเกิดขึ้นๆ ปัญญามันเกิดจากหัวใจ ปัญญามันเกิดจากจิตสงบเข้ามา ปัญญามันเกิดจากความรับรู้ของเรา ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมามันยับยั้งความรู้สึกนึกคิดได้ มันยับยั้งกิเลสตัณหาความทะยานอยากได้ แต่ถ้ามันเป็นปัญญาโลกๆ ปัญญาที่เราคิดกันอยู่อย่างนี้มันเป็นเรื่องโลกไง เห็นไหม เราเกิดมาเราอยู่กับโลก หน้าที่หนึ่งอยู่กับโลก เหรียญมี ๒ ด้าน หน้าที่หนึ่งอยู่กับโลกเพราะเราเกิดมามีชีวิต เราเกิดมามีชาติมีตระกูล เราเกิดมามีครอบครัว เราเกิดมามีต่างๆ เราก็ดูแลรักษาของเราไป

ดูแลรักษา เห็นไหม นี่เวรกรรมมันมีนะ ถ้าเวรกรรมมันมี เวรกรรม สิ่งที่เราดูแลปกครองได้เราก็ปกครองของเราไป ถ้าไม่ได้เราก็สุดความสามารถของเรา สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ ถ้าสุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องทิฏฐิมานะ เป็นความเห็นของคน ถ้าทิฏฐิมานะมันความเห็นอย่างนั้น นี่เราทำดีที่สุดของเราแล้วมันก็ยกให้เวรให้กรรม ถ้าเวรกรรมเป็นแบบนั้น นี่เวรกรรมแบบนั้นมันก็ต้องเป็นแบบนั้น มันฝืนไม่ได้หรอก

ถ้ามันฝืนนะ ถ้ามันจะฝืนก็ฝืนที่ใจเรานี่ไง ฝืนที่ใจเราไม่ให้มันทุกข์ร้อน ไม่ให้มันเจ็บปวดไปกับเขา ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นแบบนั้น แต่รักษาใจเรา รักษาใจเรา ดูแลหัวใจของเรา ถ้าดูแลหัวใจของเรานะ เวลาบรรลุธรรมใครบรรลุธรรม ก็ใจดวงนี้บรรลุธรรม ใครจะบรรลุธรรมกับเรา แต่เวลามันทุกข์ร้อน ทำไมคนอื่นเอาฟืนเอาไฟมาแผดเผาเรา แล้วเราก็เอาฟืนเอาไฟนั้นมาแผดเผาเราอีกชั้นหนึ่ง แต่ถ้ามันกำลังจะแผดเผาเรา เรามีสติปัญญาเราก็วางไว้นั่น เราตั้งสติปัญญาของเราไว้ เราตั้งสติปัญญาของเราไว้

เราตั้งสติปัญญาของเรา เราแก้ไขของเราที่นี่ ถ้ามันแก้ไขที่นี่ นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาในพุทธศาสนา ถ้าพุทธศาสนามันเกิดที่นี่ไง บอกว่าเราชาวพุทธๆ เห็นไหม ทำบุญให้เกิดปัญญา ทำบุญให้เกิดปัญญา ทำสิ่งต่างๆ ให้มันมีปัญญาขึ้นมา ปัญญาขึ้นมามันจะไปชนะคะคานกันที่ไหน ไม่มีวันจบหรอก ชนะคะคานกันข้างนอกมันไม่มีวันจบ ถ้ามันจะมาจบชนะใจตัวเองนี่ไง ถ้ามันเอาใจตัวเองไว้ในอำนาจของเรา เอาใจตัวเองไว้อยู่กับเรา ใครมันจะทำลายหัวใจดวงนี้? ใครมันจะมีอำนาจมาสั่งการใจดวงนี้ มันสั่งการไม่ได้

ถ้ามันสั่งการไม่ได้ เห็นไหม นี่ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน ถ้าปัจจัตตังรู้จำเพาะตน นี้ปัจจัตตังรู้จำเพาะตนแล้วเป็นประโยชน์ของเราคนเดียวใช่ไหม? มันเป็นประโยชน์กับเราก่อน เวลากิเลสมันเกิดนะ เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น ธรรมะมันเกิดนะ มันเกิดกับใจของครูบาอาจารย์ของเรา แล้วใจครูบาอาจารย์ของเรา ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลก ร่มโพธิ์ร่มไทร ร่มโพธิ์ร่มไทรที่ไหน? ร่มโพธิ์ร่มไทรที่ท่านแนะนำสั่งสอนเราได้ไง เราล้มลุกคลุกคลานมา เราไม่มีทางออกเลย แล้วครูบาอาจารย์ท่านชี้ทางออกให้เรา

สิ่งนั้น เห็นไหม นี่ไงเขาบอกมันเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องที่ว่าหนีโลก มันเป็นเรื่องที่ไม่กล้าสู้กับความเป็นจริง หลบไปอยู่คนเดียวไง อยู่คนเดียวนั่นแหละถ้ามันเอาตัวรอดได้ เพราะมันคลุกคลีกันอย่างนั้น เพราะมันนอนใจอย่างนั้น เวลาออกธุดงค์ไป ออกธุดงค์ไปแบบนอแรด เพราะนอแรดมันไปมันต้องเผชิญปัญหาทุกอย่าง มันไปของมันเอง อาศัยลำแข้งของมันเอง ต้องต่อสู้กับชีวิตอย่างนั้นเอง ถ้าต่อสู้กับชีวิตอย่างนั้นเอง ถ้ามันเป็นความจริงก็เป็นความจริงขึ้นมาจากใจดวงนั้นเองไง แต่ถ้าอาศัยกัน เห็นไหม มันก็อาศัยอุ้มชูกันไปอย่างนั้นแหละ นอนใจ

นี่พอนอนใจนะ เดี๋ยวคนนั้นจะช่วยเหลือเรา เดี๋ยวคนนี้เขาจะคอยดูแลเรา มันนอนใจนะ เวลาเราอยู่ด้วยกันเราไม่กลัวสิ่งใดๆ เลย เราไปอยู่คนเดียวของเราสิ แล้วถ้าเกิดวิกฤติขึ้นมา เราจะแก้ไขของเราขึ้นมา เวลานั่งสมาธิภาวนาเข้าไปนะทุกคนจะรู้เอง เวลามันเจ็บมันปวดขึ้นมา เห็นไหม เวลาอยู่เฉยๆ นี่เก่งกันทุกคนแหละ ทุกคนมีความคิดมีปัญญารอบรู้ไปหมดเลย ธรรมะนี่ นิพพานหยิบเอาได้เลย แต่พอไปนั่งสมาธิ นั่งทำความสงบของใจ มันไปไม่รอดหรอก มันมืดไปหมด มันไม่มีทางไปเลย แล้วมันทำอย่างไรล่ะ? มันทำอย่างไร?

ถ้ามันพุทโธ พุทโธ พุทโธ นี่ฝืนมัน ฝืนมันนะ เราไม่มีเงินทอง เราจะไปแลกเปลี่ยนสินค้าใดๆ มาไม่ได้ เราไม่มีความรู้จริงขึ้นมาในหัวใจ เราแก้ไขใจเราไม่ได้ ถ้าเราจะแก้ไขใจของเรา เราต้องมีความรู้จริงขึ้นมาจากใจของเรา แล้วความรู้จริงมันมาจากไหน? นี่ไงทำบุญให้เกิดปัญญาๆ ปัญญาอย่างไรล่ะ? ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้? ทำไมครูบาอาจารย์ของเราทำได้? นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำ ท่านคอยบอกเรานะ แนะนำเรา

เวลาเรานั่งไปนะ พอนั่งไปเริ่มต้นมันก็มีความรู้สึกอึดอัดขัดข้องไปหมด อึดอัดขัดข้องไปหมด อึดอัดขัดข้องเพราะงานมันละเอียด งานหยาบๆ แบกหามทุกข์ยาก เราก็ว่างานอย่างนี้ทุกข์ยากลำบากนัก เวลาบอกให้นั่งเฉยๆ กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อยู่เฉยๆ แล้วรักษาใจไว้ นี่ถ้าทำได้ขึ้นมางานมันละเอียด นโยบายไง ผู้บริหาร ถ้านโยบายผู้บริหาร ถ้าจิตมันเริ่มรับรู้ขึ้นมาเมื่อไหร่มันจะชาเข้ามา มันปล่อยวาง ชานะ ชาไม่รับรู้กับเวทนา นั่นแหละมันเริ่มไม่ไปทุกข์ไปสุข มันจะเริ่มอยู่ของมัน ถ้ามันพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะปล่อยวางของมัน ถ้าปล่อยวางของมัน นี่สัมมาสมาธิ คำว่าสัมมาสมาธิเพราะมันไม่แบกโลก

ถ้ามันแบกโลก นี่ความรู้สึกนึกคิดของเรา ความรู้สึกกับความนึกคิด ความรู้สึกคือพลังงาน คือตัวใจ แต่ความคิดมันเกิดขึ้นมันเป็นสอง ถ้าเป็นสองมันมีดีมีเสีย มีได้มีเสียตลอดเวลา แต่ถ้ามันเข้าไปถึงพลังงานเฉยๆ มันสงบของมัน นี่สัมมาสมาธิ แล้วเวลามันออกรู้ ถ้าออกรู้นี่ออกมาเป็นสังขาร สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง แต่มีสัมมาสมาธิรองรับ สัมมาสมาธิรองรับมันก็เป็นสัจจะ มันเป็นสัจธรรม มันเกิดขึ้นโดยสัจธรรม มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยการคาดหมาย เกิดขึ้นด้วยจินตนาการ เกิดขึ้นด้วยความหวัง เกิดขึ้นด้วยต่างๆ การเกิดขึ้นนี่เกิดขึ้นโดยโลก เกิดด้วยอวิชชา เกิดด้วยความไม่รู้ของเรา

นี่ไงเวลาปัญญามันเกิด ถ้ามันมีสติมีสมาธิมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่มันจะเอาใจเราไว้ได้ พอเอาใจเราไว้ได้ ถ้ามันเกิดปัญญาที่ละเอียดขึ้นไป มันแยกแยะเข้าไป แยกแยะอะไร? แยกแยะสิ่งที่มันไม่รู้ ตัณหาความทะยานอยาก สมุทัย สมุทัยคือความคาด ความหมาย ความหวัง แล้วที่มันไม่เป็นความจริง แต่เวลามันแยกแยะขึ้นมา นี่ถ้ามันแยกแยะขึ้นมามันแยกแยะจากอะไรล่ะ? เพราะว่ากิเลสมันก็เป็นนามธรรม ก็เป็นความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ แล้วความรู้สึกนึกคิดเราควบคุมไม่ได้ เราไม่รู้ที่มาที่ไป

แต่เวลาถ้าเราจับกาย เวทนา จิต ธรรมได้ เวทนาที่มันสุขมันทุกข์ แล้วมันแยกมามันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลยโดยความไม่รับรู้นะ มันไม่มีอะไรเลยเพราะมันมีเหตุมีผลของมัน มันแยกแยะของมัน มันปล่อยวางของมัน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่เวทนา ไม่ใช่เวทนาแล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ? แล้วใครเป็นคนรับรู้มันล่ะ? ใครไปผูกพันกับมันล่ะ? แล้วมันผูกพันของมัน แล้วมันปล่อยวางอย่างไร?

นี่ถ้าปัญญามันเกิด ปัญญาถ้ามันเกิดอย่างนี้ เห็นไหม ปัญญาที่ทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาที่เขาคิดค้นกัน ปัญญาที่เป็นวิชาชีพ นั่นปัญญาอย่างนั้นปัญญาของโลกที่เขาพยายามส่งต่อกันเป็นทอดๆ นี่มีนักศึกษา มีผู้ฝึกงาน ทำงานขึ้นมาต่อเป็นชั้นๆ ขึ้นไป แต่ปัญญาที่มันเกิดจากจิตมันเกิดจากจิตดวงนั้น แล้วก็จบที่จิตดวงนั้น แล้วเวลาครูบาอาจารย์เราปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจที่มันรู้เท่ารู้ทันนี่แหละ ใจที่มันมีปัญญาของมันนี่แหละ พยายามฝึกสอนไง

นี่ที่บอกว่าถ้ามันเป็นอตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้วมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ? มันเป็นประโยชน์กับใครก็ตอนนี้ไง ตอนที่เราประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้ว ถ้ามันเกิดปัญหาขึ้นมาต่างๆ ที่เราแก้ไขไม่ได้ไง นี่ครูบาอาจารย์จะชี้นำตรงนี้ไง จะชี้นำ ถ้าคนที่มันไม่เป็น เราไปพูดอย่างไรนะเขายิ่งบอกไปสามวาสองศอก ไปเหนือไปใต้ไม่รู้เรื่องเลย แล้วใจเราเป็น เหมือนคนเป็นไข้แล้วไปหาหมอ หมอรักษาไม่ได้ คือจิตมันทุกข์ยากขนาดไหน?

เวลาคนที่เป็นไข้ไปหาหมอนะ หมอให้ยาทีเดียวมันหลบเลี่ยงไม่ได้เลย ยาเข้าถึงไข้นั้น นี่ครูบาอาจารย์เป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนั้น นี่พวกเราไม่รู้จักไข้ของเราไง เราไม่เคยภาวนาไง เราไม่เห็นคุณค่าหัวใจของเราไง นี่ไงทำบุญเพื่อปัญญาๆ ปัญญาถึงไม่เกิดไง ปัญญามันเกิดก็ปัญญาของโลกไง แต่ปัญญาที่เป็นปัญญารอบรู้ในกองสังขาร ความรอบรู้ในชีวิต รอบรู้ในจิต ปัญญาที่มันชำระกิเลสมันยังไม่เกิด

ถ้ามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม พอมันเกิดขึ้นมา กิเลสนะ กิเลสมันอาศัยหัวใจของสัตว์โลกเป็นที่อยู่อาศัย มันถือครองหัวใจดวงนี้มานมนาน มันจะปล่อยให้ธรรมที่เราสร้างขึ้นมา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันหนึ่ง ธรรมที่เราเกิดขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณเกิดในหัวใจ จะชำระล้างมัน มันไม่ยอมง่ายๆ หรอก มันก็ต้องมีการโต้แย้ง มีการพยายามชักนำให้เราไปทางที่ผิด ทำให้เราไขว้เขว พอไขว้เขว อันนี้แหละ อันนี้เราจะทำอย่างใด?

ถ้าทำอย่างใด เราพิจารณาแล้วเราต้องหาเหตุหาผล หาครูบาอาจารย์คอยแนะนำ คอยสั่งสอน คอยบอก นี่เล่ห์กลของมันมหาศาลเลย เล่ห์กลของมัน เห็นไหม เวลามันหลอกลวงเรา ขณะที่เราทำคุณงามความดี มันหลอกลวงเราเพื่อจะให้เรานอนจมอยู่กับโลกนี้ไง มันหลอกลวงเราเพื่อให้เราเกิดเราตายอย่างนี้ไง ไม่ต้องการให้เราเป็นอิสระไง แล้วเราจะทำอย่างไรให้เป็นอิสระ?

ถ้าเป็นอิสระ แยกแยะมันไปบ่อยครั้งเข้าๆ นี่สิ่งที่เป็นนามธรรมๆ มันมีเหตุมีผล มีเหตุมีผลหมายความว่าสิ่งที่มันเป็นไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป มันไม่คงที่ มันไม่เป็นความจริงจังหรอก แต่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของสิ่งที่มันเป็นนามธรรม มันมีของมันอย่างนั้นแหละ แล้วพิจารณาแยกไปๆ เวลามันขาดมันขาดที่ไหนล่ะ? เวลาขาด สังโยชน์มันขาดนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในเรื่องของกาย ทิฏฐิในความเป็นตัวตน ทิฏฐิในความรู้สึกนึกคิด ถ้ามันทำลายแล้วทำลายเล่า พอมันขาด สังโยชน์มันขาดไปแล้ว วิจิกิจฉาความสงสัยก็ขาด ทุกอย่างมันขาดไปพร้อม แล้วมันขาดอย่างไร? ไหนว่ากิเลสมันเป็นนามธรรม? ไหนว่ามันไม่มีตัวตนไง เวลามันตายขึ้นมา กิเลสมันตายขึ้นมา เขาพลิกศพมันนะ เขาดูแลมัน เขาชันสูตรศพนะว่ากิเลสมันตายอย่างไร? เวลากิเลสมันตายไปจากใจมันตายอย่างไร? เขาพิสูจน์ ต้องพิสูจน์ เห็นไหม ยถาภูตัง เกิดญาณทัศนะ ยถาภูตังมันขาดไปแล้ว เกิดญาณทัศนะว่ารู้แล้ว มันรู้อย่างไร?

ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม นี่ทำบุญให้เกิดปัญญา ทำบุญให้เกิดปัญญาเกิดอย่างนี้ ปัญญาเกิดขึ้นมา ปัญญานี้มีค่ามาก ปัญญานี้จะรื้อจะถอนชีวิตของเราให้พ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของตัณหาความทะยานอยาก ในเรื่องของสมุทัย อยู่ในใจนี้ทำได้ ทำบุญให้เกิดปัญญา เราทำบุญกัน เราสร้างสมกันเพื่อให้เกิดปัญญาของเรา เพื่อเป็นหลักชัยของเรา ให้ชีวิตนี้มีที่อบอุ่น มีที่พึ่งอาศัยเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง